ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

แรงงาน และทุนของไทย ในค่ำคืนของวิกฤตโควิด-19


การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้เห็นทัศนคติอันย้อนแย้งของผู้คนบางส่วนในโลกออนไลน์ ผู้ชื่นชอบประเด็นหนังชนชั้นปรสิต แต่ในวิกฤตปัจจุบัน ไม่ได้คำนึงถึงโครงสร้างสังคมที่สร้างความอยุติธรรมให้แก่คนส่วนใหญ่ อย่างแรงงานไทย จนถึงคนส่วนน้อย เช่นผีน้อยเกาหลี บวกกับความรู้สึกที่ว่ามีประเด็นที่ยังไม่ค่อยได้พูดถึงกันนัก
ผู้เขียนจึงเขียนบทความนี้ขึ้นจากความคิดตนเองและบทความของคนอื่นที่ผู้เขียนเห็นด้วยในบางประเด็น พร้อมกับเดินออกไปถ่ายรูปยามวิกาลใกล้ๆ บ้าน ในคืนที่เมืองเทวดาเงียบเป็นเป่าสากเพื่อนำมาประกอบให้เห็นภาพ โดยประเด็นที่อยากจะนำเสนอหลักๆ คือ
  1. ราคาของโรคระบาดของแต่ละคนในสังคมไม่เท่ากัน ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐและหลายฝ่ายในสังคมมองข้ามไป
  2. เนื่องจากหน้าที่ของการดูแลตนเองในภาวะโรคระบาดถูกผลักมาอยู่กับปัจเจกบุคคล และประชาชนทุกคนไม่ได้มีความพร้อมทางด้านรายได้และฐานะที่มั่นคง สิ่งเหล่านี้จึงสะท้อนความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและเป็นการผลิตความเหลื่อมล้ำซ้ำซากได้อย่างชัดเจน
  3. การตอบสนองต่อวิกฤตโควิด-19 ของทุนและรัฐไทยสะท้อนความน่ารังเกียจของโครงสร้างทางเศรษฐกิจการเมืองและทุนนิยมของไทยได้เป็นอย่างดี
  4. สิ่งที่หลายฝ่ายเรียกร้องจากรัฐเพื่อลดผลกระทบจากวิกฤตนี้อาจไม่ได้สะท้อนความไม่พร้อมทางนโยบายของรัฐ หากแต่สะท้อนว่าคือความจำเป็นที่จะต้องปรับเปลี่ยนและปฏิรูประบบการเมืองไทย
สถานการณ์วิกฤตปัจจุบันทำให้ภาพชัดเจนขึ้น ประชาชนส่วนใหญ่นอกจากจะโดนกดขี่จากระบบทุนนิยมพวกพ้องของนายทุนรายใหญ่และรัฐไทยแล้ว พวกเขายังไม่ได้รับสิทธิพื้นฐานที่ตนเองควรจะได้รับแม้แต่ในภาวะปกติ ในขณะเดียวกันชนชั้นนายทุนและนักการเมืองยังคงพยายามขูดรีดผลประโยชน์จากวิกฤตอย่างไม่เหนียมอาย โควิด-19 จึงเป็นละครสะท้อนเศรษฐกิจการเมืองไทยที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
ละครเรื่องนี้ผลิตความเหลื่อมล้ำและความอยุติธรรมทางสังคมซ้ำไปเรื่อยๆ จุดจบของละครนั้นยังมาไม่ถึงและเรื่องนี้อาจจะเป็นเพียงบทเล็กๆ ในมหากาพย์เรื่องการเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยสมัยใหม่


ราคาของวิกฤตโควิด-19 และการผลิตความเหลื่อมล้ำซ้ำในทุนนิยมไทย

ราคาของวิกฤตโควิด-19 มีหลายรูปแบบได้แก่ 1) ราคาทางเศรษฐกิจโดยตรง 2) ราคาในการป้องกันตนเอง และ 3) ราคาของการแบกรับภาระนโยบายของรัฐ
ราคาทางเศรษฐกิจโดยตรงเป็นเรื่องที่เห็นได้ชัด ในวันที่ถนนเงียบสงัด ธุรกิจได้รับผลกระทบผ่านรายได้และกำไรที่ลดลง ผู้ประกอบการไม่ว่าจะรายใหญ่หรือรายย่อยก็ต้องคำนึงถึงการลดต้นทุนในการผลิตเพื่อคงกำไร หรืออย่างน้อยก็ต้องไม่ให้ถึงจุดล้มละลาย แรงกดดันที่ว่านี้ตกลงมาบนบ่าของแรงงาน ผู้มอบผลิตผลแรงงานให้ระบบทุนนิยมเพื่อแลกกับค่าตอบแทนที่ไม่ยุติธรรม ผ่านการแก้ปัญหาง่ายๆ ด้วยการลดเงินเดือนและการให้ออกจากงาน
ตั้งแต่ปี 2559 เศรษฐกิจไทยเติบโตช้ามาพร้อมกับความยากจนและความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ที่มากขึ้น [2] มีเพียงแรงงานไทยส่วนน้อยเท่านั้นที่อยู่ในระบบประกันสังคมหรือเป็นข้าราชการ ประชากรจำนวนมากจะมีรายได้น้อยลง มาตรการที่จำเป็นในการให้ความคุ้มครองต่อแรงงานนอกระบบประมาณ 20 กว่าล้านคนก็ยังไม่พร้อม เช่น การออกนโยบายเยียวยาเดือนละ 5,000 บาทสำหรับแรงงาน 3 ล้านราย ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาแบบปลายเหตุและแน่นอนว่าไม่เพียงพอ ล้อมคอกไปสิ วัวมันวิ่งหายไปนานแล้ว!

สำหรับราคาในการป้องกันตนเองนั้นเห็นได้ชัดน้อยกว่าและเกี่ยวโยงกับราคาแรกเป็นอย่างยิ่ง DavidHarvey ได้เขียนสรุปเรื่องนี้ไว้เป็นอย่างดีการรุดหน้าของไวรัสโควิด-19 เป็นการระบาดครั้งใหญ่ที่มีประเด็นของชนชั้น เพศสภาพ และเชื้อชาติอย่างชัดเจน […] ชนชั้นแรงงานสมัยใหม่ในสหรัฐอเมริกา (ที่ส่วนใหญ่เป็นคนแอฟริกัน-อเมริกัน Latinx และแรงงานหญิง) ต้องเจอทางเลือกอันน่ารังเกียจ ระหว่างการว่างงานโดยไม่ได้รับความช่วยเหลือ หรือการเสี่ยงรับความปนเปื้อนเพื่อที่จะคงธุรกิจบริการพื้นฐาน (เช่น ร้านขายของชำ) ในขณะเดียวกันพนักงานประจำ (อย่างผม) ทำงานจากบ้านและได้รับเงินเดือนไม่แตกต่างไปจากเดิม ส่วนผู้บริหารระดับสูงก็บินไปทั่วด้วยเครื่องบินส่วนตัวและเฮลิคอปเตอร์” 
ในกรณีของเศรษฐกิจสังคมไทยก็ไม่ต่างกัน คนที่หาเช้ากินค่ำต้องเสี่ยงออกมาทำงานต่อไปและไม่สามารถป้องกันตัวเองได้ ซึ่งแรงงานนอกระบบไทยเหล่านี้นี่แหละที่ชนชั้นกลางและอภิชนไทยต้องพึ่งพายามวิกฤต เนื่องจากเขาเหล่านี้เป็นสาเหตุให้พวกเขายังสามารถซื้อสินค้าจำเป็นจากร้านขายของชำ ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านอาหารตามสั่ง จนไปถึงใช้บริการส่งของ ส่งอาหารตามแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น Grab หรือ foodpandaในขณะที่ตนเองนั่งทำงานดูเน็ตฟลิกซ์จากบ้านได้อย่างสบายใจและแทบไร้ความเสี่ยง ส่วนแรงงานต่างชาติก็ต้องหนีกลับประเทศของเขาโดยไม่เคยได้รับผลประโยชน์จากเศรษฐกิจที่เขาช่วยสร้าง

ราคาสุดท้ายซึ่งก็คือราคาของการแบกรับนโยบายของรัฐนั้นเห็นได้ชัดน้อยสุด และไม่ได้มีอยู่แค่ในภาวะวิกฤตโควิด-19 แต่รวมไปถึงเศรษฐกิจในยามปกติ ถ้าหากดูส่วนประกอบรายได้ของรัฐไทยแล้ว ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาถือเป็นเพียงร้อยละ 11 เท่านั้น ภาษีมูลค่าเพิ่มนั้นถือเป็นที่มารายได้ของรัฐที่มากที่สุดคือร้อยละ 27 และถือได้ว่าเป็นภาษีที่เป็นภาระบนรายได้คนจนมากกว่าคนรวย (ภาษีอัตราถดถอย) แต่ความเป็นจริงที่ไม่มีใครเถียงได้คือผู้ที่ได้รับผลประโยชน์จากรายจ่ายของรัฐมักไม่ใช่คนจนหรือแรงงานไทย หากแต่คือนายทุนรายใหญ่และอาจจะไม่ใช่คนที่อยู่ในประเทศด้วยซ้ำ
กล่าวคือ ผู้โชคร้ายที่ต้องจ่ายแพงที่สุดก็คือคนจน แรงงานนอกระบบ ธุรกิจขนาดเล็ก ที่มีรายได้น้อยลง และความช่วยเหลือของรัฐในภาวะวิกฤตไม่เพียงพอ พบกับความเสี่ยงต่อโรคระบาดมากกว่า เนื่องจากค่าเสียโอกาสของการทำงานจากบ้านสูง และเป็นผู้แบกรับภาระค่าใช้จ่ายของรัฐไม่ต่ำไปกว่าประชากรไทยที่มีรายได้มากกว่า แต่รัฐบาลไทยปัจจุบันไม่เคยตั้งใจให้ความคุ้มครองสิทธิพื้นฐานมนุษย์ในด้านแรงงานและสาธารณสุขกับคนเหล่านี้เลย




เศรษฐกิจการเมืองไทยในวิกฤตโควิด-19 แบบคร่าว ๆ

ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้ วิกฤตโควิด-19 จึงเป็นกระจกสะท้อนที่น่าจะทำให้เห็นได้ชัดว่า สาธารณสุขเป็นประเด็นด้านเศรษฐกิจการเมือง ใครมองไม่เห็นเช่นนั้น หากไม่เป็นคนที่เห็นแค่การเลือกตั้งและหนังปรสิตเป็นประเด็นการเมือง ก็คงเป็นโฆษกรัฐบาลทหาร 
ปัญหาฝุ่น PM 2.5 เองก็ให้ภาพที่ไม่ต่างจากวิกฤตโควิด-19 มากนัก ธร ปีติดล อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้สรุปไว้ว่า ปัญหาเรื่องฝุ่นส่วนใหญ่นั้นเป็นปัญหาที่กลุ่มคนรายได้น้อยมักไม่ได้มีส่วนในการสร้างขึ้น […] ล้วนแต่เป็นกิจกรรมที่เกิดขึ้นจากทุนขนาดใหญ่แต่คนรายได้น้อยต้องแบกรับความเสี่ยงมากกว่า
ประเด็นที่อยากจะยกถึงจึงไม่ได้เป็นเรื่องความเหลื่อมล้ำ เพราะมันเป็นเพียงตัวสะท้อนปัญหาลึกๆ เชิงโครงสร้างเศรษฐกิจการเมือง ทุนนิยมไทยที่ได้เติบโตมาคู่กับอุดมการณ์ลัทธิเสรีนิยมใหม่ (neoliberalism) ตลอด 4 ทศวรรษที่ผ่านมาทำให้สังคมไทยไม่พร้อมเลยที่จะรับมือกับผลกระทบของวิกฤตต่อสาธารณสุขและความเป็นอยู่ของประชากร ไม่ได้ต่างจากบริบทของสหรัฐอเมริกาที่เดวิด ฮาร์วีย์ ได้ยกขึ้นมาข้างต้น

ข้อเรียกร้องในหลายๆ ประเด็นของสมาพันธ์แรงงานนอกระบบฯ เช่น การจัดบริการขนส่งสาธารณะฟรี การลดการเก็บค่าธรรมเนียมการศึกษา การให้สิทธิประโยชน์กรณีชดเชยการขาดรายได้อันเนื่องมาจากการเจ็บป่วย เป็นนโยบายรัฐที่พึงมีอยู่แม้แต่ในสถานการณ์ปกติ แต่สาเหตุที่มันไม่เกิดขึ้นก็เนื่องจากการพ่ายแพ้ของชนชั้นล่างในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจการเมืองไทย
เราทุกคนเห็นได้ชัดเจนว่ารัฐบาลไทยขาดกลไกที่พร้อมจะช่วยประชากรส่วนใหญ่ในสังคม นี่คือผลของการกินรวบของทุน (concentration–สะท้อนโดยสัดส่วนรายได้ประชาชาติที่ตกไปอยู่กับทุนมากขึ้น) และการกระจุกตัวของทุน (centralisation–สะท้อนโดยความเหลื่อมล้ำด้านทรัพย์สิน) โดยอภิสิทธิ์ชนในระบบทุนนิยมอุปถัมภ์ของไทย คงไม่มีใครโต้แย้งความสัมพันธ์อันเหนียวแน่นระหว่างนายทุนรายใหญ่กับรัฐไทยได้
ในงานวิจัยเรื่องชนชั้นนายทุนในไทยตั้งแต่ปี 2523 Kevin Hewison ได้ชี้ว่าอำนาจของกลุ่มนายทุนไทยมีอายุขัยยืนยาวและไม่เคยต้องพบกับความท้าทายขนานใหญ่เพราะความผูกพันกับรัฐบาลทหารและอีลีตไทย ดังนั้นแม้ว่าประเทศไทยจะได้ผ่านความไม่สงบทางการเมืองและวิกฤตเศรษฐกิจปี ’40 ทุนไทยจึงสามารถขัดขืนการเปิดเสรีด้านสังคมและการเมืองได้ ความสัมพันธ์ที่ว่าเป็นแบบใดก็เห็นได้ชัดในท่าทีของรัฐไทยและนายทุนรายใหญ่ในการตอบสนองต่อโควิด-19
ตัวอย่างง่ายๆ ของเศรษฐกิจการเมืองไทยในยุคโควิด-19 คือความแตกต่างระหว่างงบประมาณ 45,000 ล้านบาท สำหรับนโยบายที่ช่วยเหลือแรงงานนอกระบบได้แบบไม่ครบ 20 ล้านกว่าคน กับงบประมาณ 100,000 ล้านบาท สำหรับนโยบายที่กำลังมีการชงกันเพื่อตั้งกองทุนกู้วิกฤตตลาดหุ้น สรุปคือ ในทุนนิยมไทย ทุนมาก่อน คนมาทีหลัง จนมิตรสหายท่านหนึ่งได้ตั้งข้อสังเกตไว้ว่า ประเทศนี้ต่อให้ประชาชนตายหมด ซีพีก็ต้องรอด


แล้วยังไง?

ถ้าหากจะถามว่าวิกฤตโควิด-19 จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงสังคมหรือไม่ อย่างไร คำตอบขึ้นอยู่กับว่าวิกฤตนี้จะอยู่ไปอีกนานเท่าไหร่ และระหว่างนี้จะส่งผลต่อโครงสร้างสังคมอย่างไรบ้าง ยิ่งวิกฤตยืดยาวไปเท่าไหร่ แรงกดดันต่อโครงสร้างเศรษฐกิจการเมืองป่วยๆ ก็จะสูงขึ้นเรื่อยๆ
ผู้เขียนคิดว่า การผสมโรงของวิกฤตโรคระบาด โครงสร้างของระบบทุนนิยมโลกาภิวัตน์ที่ถดถอย เศรษฐกิจทั้งไทยและโลกที่กำลังมีปัญหา และรัฐไทยที่ล้มเหลว จะทำให้เงื่อนไขที่จะทำให้ความเป็นอยู่อย่างสุขสบายของกลุ่มนายทุนรายใหญ่ นักการเมือง และสถาบันทางการเมืองของไทยสั่นคลอนใกล้เข้ามาทุกที  ไม่แน่ การสวดมนต์ไล่โควิด-19 ของรัฐบาลอาจไม่ใช่เรื่องตลก
วิกฤตนี้ทำให้อำนาจนำของระบบเศรษฐกิจการเมืองไทยกำลังถูกตั้งคำถาม เราเห็นได้ชัดเจนว่าไม่เพียงแต่ประเด็นสาธารณสุขเท่านั้นที่เป็นสิ่งที่รัฐต้องให้ความสนใจและถือเป็นสิทธิของประชาชน แต่รวมไปถึงสิทธิและความยุติธรรมในประเด็นแรงงานด้วย
ในกรณีของประเทศไทยนั้นเหมือนมีโลกสองใบที่โคจรกันอยู่แต่ยังไม่เคยรับรู้ถึงกันและกันเสียที และวิกฤตโควิด-19 หรือปัญหา PM 2.5 อาจจะทำให้เริ่มเกิดการพูดคุยแลกเปลี่ยนระหว่างสองโลกนี้มากขึ้น ส่วนจะขัดแย้งกันจนถึงจุดไหนก็ต้องรอดูกันต่อไปอีกที
ประชาชนจะเริ่มมองหาทางเลือกอื่นเมื่อระบบทุนนิยมอุปถัมภ์และรัฐไทยที่ล้มเหลวไม่สามารถแก้ไขปัญหาหรือบรรเทาผลกระทบจากวิกฤต ดังนั้นขอให้ทุกท่านเริ่มเงี่ยหูฟังเสียงแผ่วๆ ที่ใกล้เข้ามาของความโกลาหลและการเปลี่ยนแปลง สองเดือนที่ผ่านมานี้ทำให้เห็นชัดว่าในสถานการณ์วิกฤต โครงสร้างทางเศรษฐกิจการเมืองไทยพึ่งพาไม่ได้และบังคับให้ผู้คนวิ่งเต้นเอาตัวรอดด้วยตนเอง ส่วนคนที่รอดก่อนใครก็คืออภิชนในทุนนิยมไทยที่บิดเบี้ยวเอนเอียงอย่างน่ารังเกียจ
แต่จังหวะวิกฤตเหล่านี้นี่แหละที่จะวางเส้นทางเศรษฐกิจการเมืองไทยในอนาคตต่อไป และประชาชนไทยทุกคนควรมีส่วนในการกำหนดเส้นทางที่ว่านั้น ว่าเราจะอยู่กันอย่างนี้จริงๆ หรือว่าเราต้องหาหนทางและสร้างประวัติศาสตร์ของเราเอง

Credit : www.king99hd.net   https://adaymagazine.com/crisis-of-covid-19-in-thailand/#ref11

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Rae Lil Black: ฉันไม่ได้เล่นหนังโป๊เพื่อเอาใจคนทั้งโลก เลยต้องรู้จัก ‘ช่างแม่ง’ ให้เป็นบ้าง

คุณว่าการเป็นนักแสดงหนังโป๊ต้องแลกมาด้วยอะไรบ้าง        หลายคนอาจคิดว่าคงต้องแลกมาด้วยการเปิดเผยเรือนร่าง สูญเสียสถานะทางสังคม ถูกตัดขาดจากครอบครัว หรืออาจลุกลามไปถึงการไม่มีเพื่อนฝูงคบหา ซึ่งดูเป็นคำตอบที่เหมาะสม หากมองด้วยทัศคติที่ติดลบต่ออาชีพดังกล่าว        “ ฉันไม่เห็นต้องแลกอะไรกับงานที่ทำอยู่ทุกวันนี้ นักแสดงหนังโป๊ก็เหมือนงานทั่วไปที่พวกคุณทำกันอยู่ เป็นงานหนึ่งที่ไม่ได้เลวร้ายและไม่ได้พิเศษอะไรทั้งนั้น” แต่สำหรับ   เร ลิล แบล็ก   เธอกลับไม่ได้คิดเช่นนั้น แถมยังบอกต่ออีกว่าตัวเธอยังได้อะไรบางอย่างกลับมามากมายจากการทำอาชีพแบบนี้ ยกตัวอย่างเช่นศิลปะในการ ‘ช่างแม่ง’ ให้กับทุกเรื่อง        ในวันที่มีโอกาสได้พูดคุยกับเธอผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ผมพยายามเลือกคำถามด้วยความระมัดระวัง ไม่ก้าวก่าย จนสร้างความแคลงใจแก่เร ก่อนสัมภาษณ์ผมบอกเธอตามตรงว่า มีคำถามเกี่ยวกับอาชีพนักแสดงหนังโป๊ที่เธอทำอยู่ หากเธอไม่ยินดีที่จะพูดเรื่องนี้ ก็จะข้ามไปทันที แต่ในเมื่อเธอบอกว่าสบายมาก พวกเราสาม...

นักเตะเมเจอร์ลีกชูกำปั้นขึ้นฟ้าประท้วงการเหยียดสีผิว

นักฟุตบอล Major League Soccer สหรัฐอเมริกา ร่วมกันประท้วงต่อต้านการเหยียดสีผิวและความไม่เท่าเทียมกันในสังคม ด้วยการลงไปยืนและชูกำปั้นขึ้นสู่ท้องฟ้าเป็นเวลา 8 นาที 46 วินาที ก่อนที่เกมแรกของการรีสตาร์ทฤดูกาล 2020 จะเริ่มต้นขึ้น ในเกมแรกของการรีสตาร์ทฟุตบอล Major League Soccer หรือ MLS ซึ่งเป็นการพบกันระหว่างออร์แลนโด ซิตี้ เอสซี กับทีมอินเตอร์ ไมอามี ที่มี เดวิด เบ็คแฮม เป็นเจ ้าของทีม ได้มีนักฟุตบอลของทั้งสองทีมหลายสิบคนในนามกลุ่ม Black Players for Change ร่วมกันลงไปยืนในสนาม โดยในระหว่างก่อนเกมจะเริ่ม ผู้เล่นเหล่านั้นซึ่งสวมเสื้อที่มีข้อความ Black Lives Matter และสโลแกนต่างๆ เช่น Silence is Violence หรือ Black and Proud ได้ชูกำปั้นขึ้นฟ้าเป็นเวลา 8 นาที 46 วินาที ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ จอร์จ ฟลอยด์ ชาวอเมริกันผิวสีถูก เดเรก ชอวิน เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้เข่ากดลงบนคอจนติดพื้น และทำให้เสียชีวิตในเวลาต่อมา เนื่องจากขาดอากาศหายใจ ขณะที่นักเตะออร์แลนโดและไมอามีเองก็นั่งคุกเข่าอยู่กลางสนามเช่นกัน นานี อดีตนักเตะทีม ‘ปีศาจแดง’ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กล่าวถึงการประท้วงครั้งนี้ว่า “มัน...

'วัวรส' รับเกือบจะซบผีปี 2014 แต่ว่า 'มอยส์' โดนปลดก่อน

โทนี่   วัวรส   กองกลาง   เรอัล   มาดริดเห็นด้วยว่าแทบย้ายซบ   แมนเชสเตอร์   ยูไนเต็ด   ในปี  2014  จริงแต่ว่าที่ไม่เกิดขึ้นเนื่องจากว่า   เดวิด   มอยส์   โดนไล่ออกจากตำแหน่งซะก่อน มอยส์   เผยมาแล้วรอบนึงในปี  2018  ว่า   วัวรส   เคยเกือบจะย้ายไปสู่ถิ่น   โอลด์   แทรฟฟอร์ด   ก่อนที่จะผู้จัดการทีมชาวสก็อตแลนด์จะโดนให้ออกจากตำแหน่งในเมษายนปี  2014 เพียงพอมีการเปลี่ยนที่ปรึกษาเกิดขึ้น   แมนฯ   ยูไนเต็ด   ก็มิได้ติดต่อกลับไปพบมิดฟิลด์กลุ่มชาติเยอรมนี   ข้างหลัง   หฝ่าส์ ฟาน   ฮาล   ผู้ฝึกสอนคนใหม่ติดภารกิจคุมกลุ่มชาติเนเธอร์แลนด์ฝ่าบอลโลก แล้วเมื่อบอลโลกจบลง   คาร์โล   อันเชลอตติเตียน   ที่คุม   มาดริด   ในขณะนั้นก็ติดต่อหา   วัวรส   ก่อนคว้าตัวมาจาก   บาเยิร์น   มิวนิค   เสร็จ " เดวิด   มอยส์   มาหาผมรวมทั้งสำคัญๆและลงนามเสร็จสมบูรณ์   แม้กระนั้นแล้วต่อจากนั้น   มอยส์ ...