ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

แรงงาน และทุนของไทย ในค่ำคืนของวิกฤตโควิด-19


การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้เห็นทัศนคติอันย้อนแย้งของผู้คนบางส่วนในโลกออนไลน์ ผู้ชื่นชอบประเด็นหนังชนชั้นปรสิต แต่ในวิกฤตปัจจุบัน ไม่ได้คำนึงถึงโครงสร้างสังคมที่สร้างความอยุติธรรมให้แก่คนส่วนใหญ่ อย่างแรงงานไทย จนถึงคนส่วนน้อย เช่นผีน้อยเกาหลี บวกกับความรู้สึกที่ว่ามีประเด็นที่ยังไม่ค่อยได้พูดถึงกันนัก
ผู้เขียนจึงเขียนบทความนี้ขึ้นจากความคิดตนเองและบทความของคนอื่นที่ผู้เขียนเห็นด้วยในบางประเด็น พร้อมกับเดินออกไปถ่ายรูปยามวิกาลใกล้ๆ บ้าน ในคืนที่เมืองเทวดาเงียบเป็นเป่าสากเพื่อนำมาประกอบให้เห็นภาพ โดยประเด็นที่อยากจะนำเสนอหลักๆ คือ
  1. ราคาของโรคระบาดของแต่ละคนในสังคมไม่เท่ากัน ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐและหลายฝ่ายในสังคมมองข้ามไป
  2. เนื่องจากหน้าที่ของการดูแลตนเองในภาวะโรคระบาดถูกผลักมาอยู่กับปัจเจกบุคคล และประชาชนทุกคนไม่ได้มีความพร้อมทางด้านรายได้และฐานะที่มั่นคง สิ่งเหล่านี้จึงสะท้อนความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและเป็นการผลิตความเหลื่อมล้ำซ้ำซากได้อย่างชัดเจน
  3. การตอบสนองต่อวิกฤตโควิด-19 ของทุนและรัฐไทยสะท้อนความน่ารังเกียจของโครงสร้างทางเศรษฐกิจการเมืองและทุนนิยมของไทยได้เป็นอย่างดี
  4. สิ่งที่หลายฝ่ายเรียกร้องจากรัฐเพื่อลดผลกระทบจากวิกฤตนี้อาจไม่ได้สะท้อนความไม่พร้อมทางนโยบายของรัฐ หากแต่สะท้อนว่าคือความจำเป็นที่จะต้องปรับเปลี่ยนและปฏิรูประบบการเมืองไทย
สถานการณ์วิกฤตปัจจุบันทำให้ภาพชัดเจนขึ้น ประชาชนส่วนใหญ่นอกจากจะโดนกดขี่จากระบบทุนนิยมพวกพ้องของนายทุนรายใหญ่และรัฐไทยแล้ว พวกเขายังไม่ได้รับสิทธิพื้นฐานที่ตนเองควรจะได้รับแม้แต่ในภาวะปกติ ในขณะเดียวกันชนชั้นนายทุนและนักการเมืองยังคงพยายามขูดรีดผลประโยชน์จากวิกฤตอย่างไม่เหนียมอาย โควิด-19 จึงเป็นละครสะท้อนเศรษฐกิจการเมืองไทยที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
ละครเรื่องนี้ผลิตความเหลื่อมล้ำและความอยุติธรรมทางสังคมซ้ำไปเรื่อยๆ จุดจบของละครนั้นยังมาไม่ถึงและเรื่องนี้อาจจะเป็นเพียงบทเล็กๆ ในมหากาพย์เรื่องการเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยสมัยใหม่


ราคาของวิกฤตโควิด-19 และการผลิตความเหลื่อมล้ำซ้ำในทุนนิยมไทย

ราคาของวิกฤตโควิด-19 มีหลายรูปแบบได้แก่ 1) ราคาทางเศรษฐกิจโดยตรง 2) ราคาในการป้องกันตนเอง และ 3) ราคาของการแบกรับภาระนโยบายของรัฐ
ราคาทางเศรษฐกิจโดยตรงเป็นเรื่องที่เห็นได้ชัด ในวันที่ถนนเงียบสงัด ธุรกิจได้รับผลกระทบผ่านรายได้และกำไรที่ลดลง ผู้ประกอบการไม่ว่าจะรายใหญ่หรือรายย่อยก็ต้องคำนึงถึงการลดต้นทุนในการผลิตเพื่อคงกำไร หรืออย่างน้อยก็ต้องไม่ให้ถึงจุดล้มละลาย แรงกดดันที่ว่านี้ตกลงมาบนบ่าของแรงงาน ผู้มอบผลิตผลแรงงานให้ระบบทุนนิยมเพื่อแลกกับค่าตอบแทนที่ไม่ยุติธรรม ผ่านการแก้ปัญหาง่ายๆ ด้วยการลดเงินเดือนและการให้ออกจากงาน
ตั้งแต่ปี 2559 เศรษฐกิจไทยเติบโตช้ามาพร้อมกับความยากจนและความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ที่มากขึ้น [2] มีเพียงแรงงานไทยส่วนน้อยเท่านั้นที่อยู่ในระบบประกันสังคมหรือเป็นข้าราชการ ประชากรจำนวนมากจะมีรายได้น้อยลง มาตรการที่จำเป็นในการให้ความคุ้มครองต่อแรงงานนอกระบบประมาณ 20 กว่าล้านคนก็ยังไม่พร้อม เช่น การออกนโยบายเยียวยาเดือนละ 5,000 บาทสำหรับแรงงาน 3 ล้านราย ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาแบบปลายเหตุและแน่นอนว่าไม่เพียงพอ ล้อมคอกไปสิ วัวมันวิ่งหายไปนานแล้ว!

สำหรับราคาในการป้องกันตนเองนั้นเห็นได้ชัดน้อยกว่าและเกี่ยวโยงกับราคาแรกเป็นอย่างยิ่ง DavidHarvey ได้เขียนสรุปเรื่องนี้ไว้เป็นอย่างดีการรุดหน้าของไวรัสโควิด-19 เป็นการระบาดครั้งใหญ่ที่มีประเด็นของชนชั้น เพศสภาพ และเชื้อชาติอย่างชัดเจน […] ชนชั้นแรงงานสมัยใหม่ในสหรัฐอเมริกา (ที่ส่วนใหญ่เป็นคนแอฟริกัน-อเมริกัน Latinx และแรงงานหญิง) ต้องเจอทางเลือกอันน่ารังเกียจ ระหว่างการว่างงานโดยไม่ได้รับความช่วยเหลือ หรือการเสี่ยงรับความปนเปื้อนเพื่อที่จะคงธุรกิจบริการพื้นฐาน (เช่น ร้านขายของชำ) ในขณะเดียวกันพนักงานประจำ (อย่างผม) ทำงานจากบ้านและได้รับเงินเดือนไม่แตกต่างไปจากเดิม ส่วนผู้บริหารระดับสูงก็บินไปทั่วด้วยเครื่องบินส่วนตัวและเฮลิคอปเตอร์” 
ในกรณีของเศรษฐกิจสังคมไทยก็ไม่ต่างกัน คนที่หาเช้ากินค่ำต้องเสี่ยงออกมาทำงานต่อไปและไม่สามารถป้องกันตัวเองได้ ซึ่งแรงงานนอกระบบไทยเหล่านี้นี่แหละที่ชนชั้นกลางและอภิชนไทยต้องพึ่งพายามวิกฤต เนื่องจากเขาเหล่านี้เป็นสาเหตุให้พวกเขายังสามารถซื้อสินค้าจำเป็นจากร้านขายของชำ ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านอาหารตามสั่ง จนไปถึงใช้บริการส่งของ ส่งอาหารตามแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น Grab หรือ foodpandaในขณะที่ตนเองนั่งทำงานดูเน็ตฟลิกซ์จากบ้านได้อย่างสบายใจและแทบไร้ความเสี่ยง ส่วนแรงงานต่างชาติก็ต้องหนีกลับประเทศของเขาโดยไม่เคยได้รับผลประโยชน์จากเศรษฐกิจที่เขาช่วยสร้าง

ราคาสุดท้ายซึ่งก็คือราคาของการแบกรับนโยบายของรัฐนั้นเห็นได้ชัดน้อยสุด และไม่ได้มีอยู่แค่ในภาวะวิกฤตโควิด-19 แต่รวมไปถึงเศรษฐกิจในยามปกติ ถ้าหากดูส่วนประกอบรายได้ของรัฐไทยแล้ว ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาถือเป็นเพียงร้อยละ 11 เท่านั้น ภาษีมูลค่าเพิ่มนั้นถือเป็นที่มารายได้ของรัฐที่มากที่สุดคือร้อยละ 27 และถือได้ว่าเป็นภาษีที่เป็นภาระบนรายได้คนจนมากกว่าคนรวย (ภาษีอัตราถดถอย) แต่ความเป็นจริงที่ไม่มีใครเถียงได้คือผู้ที่ได้รับผลประโยชน์จากรายจ่ายของรัฐมักไม่ใช่คนจนหรือแรงงานไทย หากแต่คือนายทุนรายใหญ่และอาจจะไม่ใช่คนที่อยู่ในประเทศด้วยซ้ำ
กล่าวคือ ผู้โชคร้ายที่ต้องจ่ายแพงที่สุดก็คือคนจน แรงงานนอกระบบ ธุรกิจขนาดเล็ก ที่มีรายได้น้อยลง และความช่วยเหลือของรัฐในภาวะวิกฤตไม่เพียงพอ พบกับความเสี่ยงต่อโรคระบาดมากกว่า เนื่องจากค่าเสียโอกาสของการทำงานจากบ้านสูง และเป็นผู้แบกรับภาระค่าใช้จ่ายของรัฐไม่ต่ำไปกว่าประชากรไทยที่มีรายได้มากกว่า แต่รัฐบาลไทยปัจจุบันไม่เคยตั้งใจให้ความคุ้มครองสิทธิพื้นฐานมนุษย์ในด้านแรงงานและสาธารณสุขกับคนเหล่านี้เลย




เศรษฐกิจการเมืองไทยในวิกฤตโควิด-19 แบบคร่าว ๆ

ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้ วิกฤตโควิด-19 จึงเป็นกระจกสะท้อนที่น่าจะทำให้เห็นได้ชัดว่า สาธารณสุขเป็นประเด็นด้านเศรษฐกิจการเมือง ใครมองไม่เห็นเช่นนั้น หากไม่เป็นคนที่เห็นแค่การเลือกตั้งและหนังปรสิตเป็นประเด็นการเมือง ก็คงเป็นโฆษกรัฐบาลทหาร 
ปัญหาฝุ่น PM 2.5 เองก็ให้ภาพที่ไม่ต่างจากวิกฤตโควิด-19 มากนัก ธร ปีติดล อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้สรุปไว้ว่า ปัญหาเรื่องฝุ่นส่วนใหญ่นั้นเป็นปัญหาที่กลุ่มคนรายได้น้อยมักไม่ได้มีส่วนในการสร้างขึ้น […] ล้วนแต่เป็นกิจกรรมที่เกิดขึ้นจากทุนขนาดใหญ่แต่คนรายได้น้อยต้องแบกรับความเสี่ยงมากกว่า
ประเด็นที่อยากจะยกถึงจึงไม่ได้เป็นเรื่องความเหลื่อมล้ำ เพราะมันเป็นเพียงตัวสะท้อนปัญหาลึกๆ เชิงโครงสร้างเศรษฐกิจการเมือง ทุนนิยมไทยที่ได้เติบโตมาคู่กับอุดมการณ์ลัทธิเสรีนิยมใหม่ (neoliberalism) ตลอด 4 ทศวรรษที่ผ่านมาทำให้สังคมไทยไม่พร้อมเลยที่จะรับมือกับผลกระทบของวิกฤตต่อสาธารณสุขและความเป็นอยู่ของประชากร ไม่ได้ต่างจากบริบทของสหรัฐอเมริกาที่เดวิด ฮาร์วีย์ ได้ยกขึ้นมาข้างต้น

ข้อเรียกร้องในหลายๆ ประเด็นของสมาพันธ์แรงงานนอกระบบฯ เช่น การจัดบริการขนส่งสาธารณะฟรี การลดการเก็บค่าธรรมเนียมการศึกษา การให้สิทธิประโยชน์กรณีชดเชยการขาดรายได้อันเนื่องมาจากการเจ็บป่วย เป็นนโยบายรัฐที่พึงมีอยู่แม้แต่ในสถานการณ์ปกติ แต่สาเหตุที่มันไม่เกิดขึ้นก็เนื่องจากการพ่ายแพ้ของชนชั้นล่างในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจการเมืองไทย
เราทุกคนเห็นได้ชัดเจนว่ารัฐบาลไทยขาดกลไกที่พร้อมจะช่วยประชากรส่วนใหญ่ในสังคม นี่คือผลของการกินรวบของทุน (concentration–สะท้อนโดยสัดส่วนรายได้ประชาชาติที่ตกไปอยู่กับทุนมากขึ้น) และการกระจุกตัวของทุน (centralisation–สะท้อนโดยความเหลื่อมล้ำด้านทรัพย์สิน) โดยอภิสิทธิ์ชนในระบบทุนนิยมอุปถัมภ์ของไทย คงไม่มีใครโต้แย้งความสัมพันธ์อันเหนียวแน่นระหว่างนายทุนรายใหญ่กับรัฐไทยได้
ในงานวิจัยเรื่องชนชั้นนายทุนในไทยตั้งแต่ปี 2523 Kevin Hewison ได้ชี้ว่าอำนาจของกลุ่มนายทุนไทยมีอายุขัยยืนยาวและไม่เคยต้องพบกับความท้าทายขนานใหญ่เพราะความผูกพันกับรัฐบาลทหารและอีลีตไทย ดังนั้นแม้ว่าประเทศไทยจะได้ผ่านความไม่สงบทางการเมืองและวิกฤตเศรษฐกิจปี ’40 ทุนไทยจึงสามารถขัดขืนการเปิดเสรีด้านสังคมและการเมืองได้ ความสัมพันธ์ที่ว่าเป็นแบบใดก็เห็นได้ชัดในท่าทีของรัฐไทยและนายทุนรายใหญ่ในการตอบสนองต่อโควิด-19
ตัวอย่างง่ายๆ ของเศรษฐกิจการเมืองไทยในยุคโควิด-19 คือความแตกต่างระหว่างงบประมาณ 45,000 ล้านบาท สำหรับนโยบายที่ช่วยเหลือแรงงานนอกระบบได้แบบไม่ครบ 20 ล้านกว่าคน กับงบประมาณ 100,000 ล้านบาท สำหรับนโยบายที่กำลังมีการชงกันเพื่อตั้งกองทุนกู้วิกฤตตลาดหุ้น สรุปคือ ในทุนนิยมไทย ทุนมาก่อน คนมาทีหลัง จนมิตรสหายท่านหนึ่งได้ตั้งข้อสังเกตไว้ว่า ประเทศนี้ต่อให้ประชาชนตายหมด ซีพีก็ต้องรอด


แล้วยังไง?

ถ้าหากจะถามว่าวิกฤตโควิด-19 จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงสังคมหรือไม่ อย่างไร คำตอบขึ้นอยู่กับว่าวิกฤตนี้จะอยู่ไปอีกนานเท่าไหร่ และระหว่างนี้จะส่งผลต่อโครงสร้างสังคมอย่างไรบ้าง ยิ่งวิกฤตยืดยาวไปเท่าไหร่ แรงกดดันต่อโครงสร้างเศรษฐกิจการเมืองป่วยๆ ก็จะสูงขึ้นเรื่อยๆ
ผู้เขียนคิดว่า การผสมโรงของวิกฤตโรคระบาด โครงสร้างของระบบทุนนิยมโลกาภิวัตน์ที่ถดถอย เศรษฐกิจทั้งไทยและโลกที่กำลังมีปัญหา และรัฐไทยที่ล้มเหลว จะทำให้เงื่อนไขที่จะทำให้ความเป็นอยู่อย่างสุขสบายของกลุ่มนายทุนรายใหญ่ นักการเมือง และสถาบันทางการเมืองของไทยสั่นคลอนใกล้เข้ามาทุกที  ไม่แน่ การสวดมนต์ไล่โควิด-19 ของรัฐบาลอาจไม่ใช่เรื่องตลก
วิกฤตนี้ทำให้อำนาจนำของระบบเศรษฐกิจการเมืองไทยกำลังถูกตั้งคำถาม เราเห็นได้ชัดเจนว่าไม่เพียงแต่ประเด็นสาธารณสุขเท่านั้นที่เป็นสิ่งที่รัฐต้องให้ความสนใจและถือเป็นสิทธิของประชาชน แต่รวมไปถึงสิทธิและความยุติธรรมในประเด็นแรงงานด้วย
ในกรณีของประเทศไทยนั้นเหมือนมีโลกสองใบที่โคจรกันอยู่แต่ยังไม่เคยรับรู้ถึงกันและกันเสียที และวิกฤตโควิด-19 หรือปัญหา PM 2.5 อาจจะทำให้เริ่มเกิดการพูดคุยแลกเปลี่ยนระหว่างสองโลกนี้มากขึ้น ส่วนจะขัดแย้งกันจนถึงจุดไหนก็ต้องรอดูกันต่อไปอีกที
ประชาชนจะเริ่มมองหาทางเลือกอื่นเมื่อระบบทุนนิยมอุปถัมภ์และรัฐไทยที่ล้มเหลวไม่สามารถแก้ไขปัญหาหรือบรรเทาผลกระทบจากวิกฤต ดังนั้นขอให้ทุกท่านเริ่มเงี่ยหูฟังเสียงแผ่วๆ ที่ใกล้เข้ามาของความโกลาหลและการเปลี่ยนแปลง สองเดือนที่ผ่านมานี้ทำให้เห็นชัดว่าในสถานการณ์วิกฤต โครงสร้างทางเศรษฐกิจการเมืองไทยพึ่งพาไม่ได้และบังคับให้ผู้คนวิ่งเต้นเอาตัวรอดด้วยตนเอง ส่วนคนที่รอดก่อนใครก็คืออภิชนในทุนนิยมไทยที่บิดเบี้ยวเอนเอียงอย่างน่ารังเกียจ
แต่จังหวะวิกฤตเหล่านี้นี่แหละที่จะวางเส้นทางเศรษฐกิจการเมืองไทยในอนาคตต่อไป และประชาชนไทยทุกคนควรมีส่วนในการกำหนดเส้นทางที่ว่านั้น ว่าเราจะอยู่กันอย่างนี้จริงๆ หรือว่าเราต้องหาหนทางและสร้างประวัติศาสตร์ของเราเอง

Credit : www.king99hd.net   https://adaymagazine.com/crisis-of-covid-19-in-thailand/#ref11

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

"ลูกากู" ฟอร์มดีหลังมาอยู่ "เอฟเวอตัน"

โรกางร์โต้   มาร์ตำหนิเนซ   ผู้จัดการทีมฟุตบอลกลุ่มชาติเบลเยียม   มั่นใจว่า   โรเมลู   ลูกาฉัน   ผู้ร่วมทีมในกลุ่มชาติแล้วก็ยุคคุมเอฟเวอร์ตัน   ควรจะได้รับคำชมเชยมากยิ่งกว่านี้   หากนักวิพากษ์วิจารณ์จุดโฟกัสไปที่ลักษณะเด่นของเขา   ไม่ใช่เน้นจู่โจมแต่ว่าข้อเสีย   ซึ่งไม่ใช่ความรู้ความเข้าใจหลักสำหรับจอมกระหน่ำประตูแบบเขา สมัยก่อนกุนซื้อกลุ่มลูกกวาด   ไปทำความตกลงคว้าตัวลูกาเรามาจากเชลซี   ในแบบยืมตัวก่อนในฤดูกาล  2013-14  ก่อนที่จะซื้อถาวรในซัมเมอร์ปี  2014 ทางค้าลำแข้งของบิ๊กตู้ในถิ่นข้าดิสัน   ปาร์ค   จัดว่าบรรลุความสำเร็จอย่างมาก   เมื่อกระหน่ำประตูไป  68  จากการเล่น  141  นัดหมายในลีก สะดุดตาจนกระทั่งขั้นถูกแมนเชสเตอร์   ยูไนเต็ด   ดึงไปสู่กลุ่มในปี  2017  ก่อนประสบปัญหาในถิ่นโอลด์   แทรฟฟอร์ด   กระทั่งจำเป็นต้องย้ายไปอินเตอร์ มิลาน   เมื่อซัมเมอร์ก่อนหน้านี้ มาร์ว่ากล่าวเนซ   ในฐานะนายจ้างเก่าในกลุ่มลูกกวาด   มั่นใจว่า   บิ๊กตู้ไม่เคยได้รับเครดิตจากความดีงามที่เขาเคยได้ทำ SAGAME   เว็บพนันฝากถอนโอนไว พนัน    บอลสด บาค่าร่า สล็อต SAGAME.biz  สมัคร SAGAME.biz

'บิ๊กแซม' เตือนหงส์อย่าประมาทซัมเมอร์นี้ควรจะมี 'บิ๊กเนม'

แซม   อัลลาไดซ์   อดีตกาลที่ปรึกษาคนที่ใครๆก็รู้จัก   กระตุ้นให้หงส์แดง   บากบั่นทุ่มเงินซื้อนักฟุตบอลโด่งดังมาเสริมกองทัพในซัมเมอร์นี้   หากแม้จ่อครองแชมป์พรีเมียร์ลีกมาครอบครองเป็นครั้งแรกในรอบ  30  ปี " ลิเวอร์พูล "  พึ่งสะดุดโดนวัตฟอร์ด   ไล่ยิง  3-0  แพ้หนแรกของฤดู   อย่างไรก็ตาม   พวกเขานำห่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้  22  แต้ม   แต่ว่าแข่งขันมากยิ่งกว่า  1  เกม อัลลาไดซ์   บอกว่า " ผมมีความคิดว่าพวกเขาควรจะออกไปซื้อบิ๊กเนมเข้ามา   เพราะว่าตามประวัติศาสตร์แล้ว   เมื่อคุณมองดูไปยังกลุ่มไหนก็ตามที่ไม่ซื้อเพิ่ม   พวกเขาจะเริ่มล้มอย่างเร็ว   รวมทั้งนี่เป็นปัญหา " " พวกเขามิได้ซื้อมากไม่น้อยเลยทีเดียวในตอน  2  ตลาดก่อนหน้านี้   เพราะว่าพวกเขาไม่มีความจำเป็นต้องซื้อ   แต่ว่าพวกเขาจำต้องนึกถึงอนาคตอันใกล้   และก็พวกเขาจำต้องจดจำไว้ว่าพวกเขาอยากสัก  1-2  คนต่อฤดู " " จุดสุดยอดของพวกเขาจำต้องถูกท้าจากนักฟุตบอลบิ๊กเนม  1-2  ผู้ที่จะเข้ามา   ถ้าหากไม่แล้วมันก็อาจจะทำให้คุณกำเนิดความพอใจมากมายไปหน่อย   แม้ไม่ซื้อพยายาม " KING99STAR   เว็บพนันฝา

คว้าแชมป์ด้วยกันก่อน! หงส์ต่อสัญญา 'เทพม้วน' สั้นๆจนจบฤดูกาล

ลิเวอร์พูล ยืนยันถึงการต่อสัญญาระยะสั้นของ อดัม ลัลลาน่า ซึ่งจะทำให้เขาได้อยู่กับทีมจนกระทั่งจบฤดูกาลนี้ หลังของเดิมจะหมดลงในสิ้นเดือน สัญญาเดิมของดาวเตะวัย 32 ปีกำลังจะหมดลงในวันที่ 30 มิถุนายนและถูกสโมสรอย่าง เลสเตอร์ ซิตี้ ทาบทามถึงการย้ายทีในช่วงซัมเมอร์แล้ว อย่างไรก็ตามจากที่พรีเมียร์ลีกจะกลับมาแข่งต่อยาวจนถึงเดือนหน้า ทำให้ ลิเวอร์พูล ยื่นสัญญาให้ ลัลลาน่า อยู่กับทีมต่ออีกเดือนนึงเพื่อที่จะได้อยู่กับทีมต่อจนจบฤดูกาลที่เหลือ " ผมยินดีมากที่ได้โอกาสเล่นต่อให้จบซีซั่น มีความหมายต่อผมและครอบครัวผมเป็นอย่างมาก" ลัลลาน่า กล่วา " ตอนนี้ไม่ใช่เวลามานั่งย้อนความหลังช่วงเวลาของผมกับสโมสรแล้ว เพราะต้องโฟกัสกับ 9 เกมที่เหลือและจบฤดูกาลนี้ให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้" " แน่นอนว่าหนึ่งในสิ่งดีๆของการต่อสัญญาสั้นๆครั้งนี้ คือผมจะได้โอกาสบอกลาคนที่มีความหมายต่อผมให้เหมาะสม" " เจ้านายปฏิบัติอย่างยอดเยี่ยมและเราคุยถึงบทบาทของผมในสัปดาห์ที่เหลืออยู่อย่างตรงไปตรงมา ผมอยากช่วยเหลือเขาและสโมสรในแบบที่ดีทีสุดเท่าที่จะทำได้ ไม่ใช่แค่เกมที่เหลือในฤดูก